วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2564

Father's day by Banyong Pongpanich (FB)




จดหมายเปลี่ยนชีวิต....จากพ่อ ถึงลูกชายวัยรุ่นใจแตก  (5 ธันวาคม 2557)


    วันนี้เป็นวันพ่อ....มันทำให้ผมคิดถึงพ่อเป็นพิเศษ ...ความจริงผมไม่ได้คิดถึงท่านเฉพาะในวันพ่อหรอกครับ ผมมักคิดถึงท่านเสมอๆ แต่ก็ได้แต่คิด เพราะท่านจากไปตั้งแต่สี่สิบปีที่แล้ว ...จากไปอย่างกระทันหัน อย่างที่ทุกคนในครอบครัวไม่ได้ตั้งตัว(ถูกฆาตกรรม) 


    ...ถึงทุกอย่างจะเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเสียใจตลอดมา ก็คือ ผมแทบไม่เคยได้ทำอะไรที่เป็นที่ทดแทนคุณพ่อในยามที่ท่านยังมีชีวิตอยู่เลย ตรงกันข้าม กลับมักจะทำแต่เรื่องเดือดเนื้อร้อนใจให้ท่าน สร้างแต่ความกังวล ความเป็นห่วง ...เมื่อท่านจากไป ผมได้แต่ทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ในวันฌาปนกิจ คือ ดูแลแม่ ช่วยเหลือเกื้อกูลรักใคร่สามัคคีในเหล่าพี่น้อง กับ ทำตัวให้เป็นคนดีมีประโยชน์ ให้ประสบความสำเร็จตามควร ...หวังเพียงแต่ว่า ถ้าท่านหยั่งรู้ได้ จะได้ดีใจ สบายใจ และภูมิใจในลูกหัวดื้อคนนี้


    ในปี 2513...สี่ปีก่อนที่พ่อจะจากไป ตอนที่ผมอายุแค่ 16 ปี เรียนอยู่ มศ.4 ที่วชิราวุธวิทยาลัย ผมก็ได้สร้างเรื่องที่เนรคุณ ทำให้ท่านต้องกลัดกลุ้มกังวลเป็นอย่างมาก ...จากความที่เป็นวัยรุ่นหลงผิด ทะนงตน จองหองอวดดี ไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ต้องเล่าเรียนหนังสือ ทำตัวผิดวินัยโรงเรียนอยู่เป็นนิจ ...พ่อได้รับแจ้งจากทางโรงเรียน ให้เดินทางจากต่างจังหวัดเข้าพบ พระยาภะรตราชา ผู้บังคับการของวชิราวุธฯ เป็นการด่วน เพื่อรับรายงานความประพฤติของเด็กที่มีปัญหา ที่โรงเรียนอาจจะต้องให้ออก


    ภายหลังการเข้าพบกับท่านผู้บังคับการ ...พ่อรู้ดีว่า การพูดคุยกับวัยรุ่นใจแตกอย่างผมนั้นคงเป็นการเสี่ยงเกินไป พ่อเลยตัดสินใจใช้วิธีเขียนจดหมายแทน ....มันเป็นจดหมายที่เขียนด้วยความตั้งใจอย่างมาก เป็นจดหมายที่ยาวมาก ถึงแปดหน้า (ผมเชื่อว่าพ่อน้อยคนที่จะมีความมานะเขียนจดหมายถึงลูกยาวขนาดนี้) เป็นจดหมายที่ผมอ่านเป็นหลายสิบเที่ยวในสี่สิบปีที่ผ่านมา


    ถึงมันจะเป็นเรื่องส่วนตัว ...เป็นเรื่องของคนสองคน แต่ผมคิดว่าอาจจะเป็นประโยชน์กับ ผู้ที่เป็นพ่อ และ ผู้ที่เป็นลูกอื่นๆได้บ้าง นอกจากนั้น ในจม.ยังมีการกล่าวถึงครูผู้มีพระคุณ ซึ่งเปรียบเสมือนพ่ออีกคนหนึ่งของผมอีกด้วย ...เลยขออนุญาตนำมาบันทึกไว้นะครับ....(ยาวมากนะครับ)


ที่บ้าน 26 ตุลาคม 2513


ตั้วลูกรัก


    พ่อเพิ่งกลับจากไปส่งลูกๆที่โรงเรียน ตอนแรกตั้งใจจะไปหาเพื่อน แต่แล้วต้องงด เพราะจิตต์ใจพ่อไม่สบายเลย ถึงแม้ลูกจะเกริ่นให้พ่อฟังแล้วตั้งแต่เมื่อคืน และพ่อได้มีเวลาคาดคิดไว้ก่อน โดยลำดับภาพการกระทำและนิสสัยใจคอของลูกเท่าที่เคยสดุดตา สดุดใจพ่อ ตั้งแต่ลูกเพิ่งรู้ความจนลูกเติบโตมาเป็นหนุ่มน้อยขนาดโตกว่าพ่อนี้


    จดหมายฉบับนี้ พ่อเขียนไว้ตั้งแต่พ่อกลับจากโรงเรียน และตั้งใจจะให้ลูกอ่านหลังจากพ่อได้พูดกับลูกโดยตรง ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ลูกจะแก้ตัวอย่างไร พ่อก็เชื่อว่าจะดีกว่าวาจาที่พ่อพูดไป ซึ่งบางทีจะไม่ฝังในจิตใจและความจำของลูกได้มาก เพราะขณะที่พ่อพูด พ่ออาจจะไม่มีจิตใจสงบเหมือนตอนที่พ่อเขียน ลูกก็เช่นกัน อาจจะมีอารมณ์และความนึกคิดลำเอียงเข้าข้างตัวและใจคออุปนิสัยของตัวเอง ไม่ได้หยิบยกข้อเท็จจริงพิจารณาโดยถ่องแท้ เจตนาของพ่อก็คือ ให้ลูกได้ใช้เวลาพิจารณาเรื่องต่างๆโดยถ่องแท้และใช้เวลาอันสมควร


    พ่อเชื่อและมั่นใจว่า ทุกอย่างที่ผู้บังคับการได้พูดกับพ่อเกิดจากความรักลูก รักสถาบันวชิราวุธ และไม่ได้ทำเพราะอารมณ์หลงจากคำฟ้องหรือความจงเกลียดจงชังลูก ผู้บังคับการสามารถบอกนิสัยใจคอลูกให้พ่อฟังเหมือนกับที่พ่อรู้จักลูกเอง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าท่านเองต้องมีความรัก ความเป็นห่วง และได้ไตร่ตรองทุกอย่างโดยละเอียดถี่ถ้วนในฐานะผู้ใหญ่ที่ต้องรับผิดชอบปกครองนักเรียนซึ่งพ่อแม่มอบหมายเป็นร้อยๆคนต่อปี และได้เคยปั้นเด็กให้เป็นคนดีเป็นพันเป็นหมื่นคนแล้ว


    พ่อเองพ่อไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าผู้การจะสละเวลาและให้การต้อนรับพ่ออย่างที่ได้รับในเชัาวันนั้น พ่อคิดว่าอย่างมากท่านคงจะบอกให้พ่อทราบถึงความผิดของลูก และบอกให้พ่อตักเตือนลูกโดยใช้อำนาจในฐานะผู้บังคับการ ซึ่งมีอำนาจเต็มที่จะชี้ขาดอะไรต่ออะไรเกี่ยวกับโรงเรียนวชิราวุธโดยเด็ดขาดได้ ตามที่เคยได้ยินลูกๆและเพื่อนของลูกของพี่โตพูดถึงกัน แต่กลับผิดคาดอย่างนึกไม่ถึงเลยว่าท่านจะปฏิสันฐานกับพ่อเช่นที่พ่อได้พบ ซึ่งพ่อถือว่าเป็นเกียรติของพ่อในฐานะบิดาของสานุศิษย์ท่านคนหนึ่ง ซึ่งแสดงถึงลักษณะและจิตใจอันบริสุทธิ์และอุดมการณ์ของผู้ใหญ่ในวงการศึกษาที่แท้จริง การแสดงออกของท่านในความห่วงใยและสนใจต่อศิษย์เป็นสิ่งที่จะพบเห็นได้ในครูอาจารย์รุ่นที่พ่อเป็นนักเรียน ซึ่งหาได้ยากยิ่งในครูอาจารย์สมัยนี้ คือ ท่านมิได้ถือแต่เป็นครูผู้สอนวิชาความรู้ให้นักเรียนเท่านั้น ยังถือตัวเองเป็นญาติผู้ใหญ่ เป็นผู้ปกครองแทนพ่อแม่ของศิษย์ไปด้วย ซึ่งลูกจะเข้าใจได้จากสิ่งที่พ่อจะเขียนต่อไป


    พอลูกเข้าโรงเรียนไปแล้ว พ่อตรงไปยังOffice และไปถามครูคนหนึ่งในห้องนั้นว่าพ่อจะพบผู้การได้อย่างไร ครูบอกว่าท่านกำลังเตรียมจะไปประชุมนักเรียน ซึ่งจะพบได้ก็หลังจากการประชุมแล้วเท่านั้น ให้พ่อคอยก่อน พอดีผู้การออกมาจากห้องตอนนั้นเตรียมตัวไปหอประชุม ครูผู้นั้นเรียนท่านว่าพ่อเป็นบิดาของลูก พอท่านทราบท่านก็ตรงมาหาพ่อบอกว่าดีแล้วที่ได้พบ เพราะมีเรื่องที่จะปรึกษาเกี่ยวกับลูกหลายอย่าง พร้อมกันนั้นได้หันไปสั่งกับครูผู้นั้นให้ไปบอกให้ครูจิตต์หรือครูอรุณไปแทนท่าน แล้วเชิญพ่อไปพบในที่ทำงาน ซึ่งถ้าเป็นครูหรืออาจารย์ใหญ่โรงเรียนอื่น อย่างมากที่พ่อจะได้รับก็ "อ้อ! ผมกำลังจะไปประชุม โปรดคอยก่อนนะ" อะไรเทือกนั้นเท่านั้น


    ในห้องทำงานของท่านๆได้เล่าเรื่องต่างๆของลูกที่ได้ทำไปในปีการศึกษานี้ ทั้งในเรื่องการเรียน เรื่องกีฬา และกิจกรรมนอกเวลาอื่นๆซึ่งพ่อจะพูดกับลูกต่อไป พร้อมทั้งท่านได้ชี้แจงถึงความต้องการและเจตนาของท่านเองที่มีต่อลูก ซึ่งทุกข้อพ่อเห็นด้วยว่าตรงกับพระราชประสงค์ของร.6 องค์ผู้ให้กำเนิดรร. และเป็นแนวปฏิบัติของโรงเรียน Public School ทั่วไป ที่ต้องการสร้างคนที่มีความรู้ ซึ่งกอร์ปด้วยคุณลักษณะทางจิตใจที่เหมาะกับสังคมทุกชั้น และมีสุขพลานามัยสมบูร์ทุกประการ


    จากคำพูดและท่าทีตลอดจนการแสดงออกอื่นๆของผู้การ ทำให้พ่อซึ้งว่าโดยส่วนตัว ท่านผู้การเคยรักและเอ็นดูลูกเองอยู่ตลอดมา เมื่อลูกมีการเปลี่ยนแปลง ท่านก็ได้ติดตามการกระทำ ความประพฤติของลูกอย่างใกล้ชิด โดยลูกเองไม่รู้สึก หรือรู้สึกแต่เข้าใจไปเสียในทางตรงกันข้าม ท่านบอกว่าท่านเองก็ไม่อยากจะแจ้งความไม่ดีให้พ่อรู้ แต่ท่านได้พยายามตักเตือนและให้เวลาแก่ลูกมาพอสมควรแล้ว ซึ่งลูกก็รู้สึกตัวเป็นคราวๆและแก้ไขตัวเองได้ แต่พอเวลาล่วงเลยมาไม่นานลูกก็กลับไปตามเดิมอีก ท่านบอกว่าท่านเสียดาย เพราะท่านเคยหวังไว้ว่าลูกจะเป็นคนหนึ่งในหลายคนที่จะมีส่วนสร้างชื่อเสียงและสนับสนุนโรงเรียน เพราะ มีการเรียนดี สติปัญญาก็ดี อีกทั้งเป็นนักกีฬาได้รอบตัวด้วย ถึงกับท่านได้เคยตั้งใจที่จะให้ลูกเป็นหัวหน้าคณะและอื่นๆต่อไป ถ้าไม่ขัดด้วยการเปลี่ยนแปลงของลูกในตอนหลังๆนี้


    ลูกรัก พ่อเชื่อว่าท่านผู้การยังรักและหวังดีต่อลูกอยู่ จึงได้เรียกพ่อไปพบ และขอให้พ่อได้พูดตักเตือนลูกด้วยตนเอง และท่านว่าเนื่องจากลูกอยู่ในความปกครองของท่านมาเป็นเวลา 7-8 ปีซึ่งนับว่าใกล้ชิดกับท่านมากกว่าพ่อเอง แต่ถ้าลูกยังไม่ปรับปรุงตัวเองให้อยู่ในกรอบข้อบังคับและในประเพณีที่ดีงาม ท่านก็เสียดายที่ต้องตัดสินใจไปในทางที่ท่านต้องทำ เพื่อสถาบันการศึกษา"วชิราวุธ"แห่งนี้ เพราะตัวท่านเองเทอดทูลสถาบันนี้ไว้อย่างสูง สิ่งใดที่ท่านเห็นว่าไม่ดีงาม ท่านก็ต้องตัดใจกระทำเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่นักเรียนอื่นๆอีกหลายร้อยคน ท่านว่าหลังจากพบกับพ่อแล้ว ท่านเชื่อว่าด้วยความรักที่ลูกมีต่อพ่อและโอกาสที่พ่อจะได้พูดกับลูกนานๆในปลายเดือนนี้(คือวันที่ 31 ตค.) ซึ่งสำหรับตัวท่านเองไม่มีโอกาสที่จะทำเช่นนั้นเป็นส่วนตัวกับลูก ท่านมั่นใจว่าลูกจะกลับเป็นลูกตั้วคนเดิมซึ่งสนใจในการเรียน การกีฬาเพื่อหมู่คณะ ฯลฯ และท่านจะได้มีโอกาสมอบหมายและแต่งตั้งลูกในตำแหน่งต่างๆซึ่งท่านมีเจตนาไว้เดิม เพื่อเป็นแบบอย่างและเป็นตัวแทนท่านในโรงเรียน 


    ท่านยังพูดว่า ท่านเชื่อว่าพ่อคงจะเข้าใจท่านดีในฐานะที่เคยเรียนใน Public School ระบบเดียวกันกับวชิราวุธ และท่านจะพบและพูดเพียงครั้งเดียวเท่านี้ เพราะถ้าพ่อไม่สามารถชี้แจงให้ลูกรู้เจตนาของท่านและทำให้ลูกเปลี่ยนแปลงกลับคืนได้ ก็สุดความสามารถของผู้อื่นที่จะมีอิทธิพลเหนือจิตใจของลูกได้ ท่านก็จำเป็นต้องตัดใจทำในสิ่งที่ไม่อยากทำในเทอมนี้ หรือปลายปีนี้ แล้วแต่เหตุการณ์บังคับ


    ลูกรัก พ่อจากผู้บังคับการมาด้วยความรู้สึกสองอย่าง อย่างแรกพ่อภูมิใจที่พ่อตัดสินใจถูกที่ขวนขวายมอบหมายลูกพ่อถึง 4 คนให้เข้าวชิราวุธนี้ และภูมิใจที่ผู้ปกครองอื่นเป็นร้อยเป็นพันคนมอบหมายลูกๆให้กับสถาบันแห่งนี้ ที่มีครูอาจารย์แบบผู้บังคับการเป็นผู้รับผิดชอบ พ่อภูมิใจที่ครั้งหนึ่งลูกเคยได้ความรักและได้สร้างความหวังให้แก่ผู้ใหญ่เช่นผู้บังคับการคนนี้ ในขณะเดียวกันพ่อก็เสียใจที่ได้ทราบถึงพฤติกรรมหลายอย่างของลูกซึ่งแสดงตอบแก่สถาบันนี้และผู้บังคับบัญชาซึ่งรักลูกจริงๆ พ่อเกรงเหลือเกินว่าถ้าพ่อไม่สามารถจะทำให้ลูกเข้าใจและปรับปรุงตัวเองได้สำเร็จ พ่อจะต้องประสพเหตุการณ์แบบพี่โตอีกเป็นครั้งที่สอง ลูกคงไม่เข้าใจถ้าพ่อจะบอกว่ารู้สึกเสียใจในการตัดสินใจของพ่อจนทำให้พี่โตต้องจากวชิราวุธอันเป็นที่รักยิ่งเพียงไร(พี่โตย้ายไปเรียนที่เทพศิรินทร์ตอนมศ. 4) เมื่อพ่อได้ยินพี่โตพูดกับยื่น เมื่อส่งสนับแข้งขาวให้ยื่นพร้อมกับพูดว่า "ต่อไปไม่มีโอกาสใช้มันอีกแล้ว" คำพูดนี้เหมือนมีดร้อยเล่มพันเล่มเฉือนใจพ่อ และพ่อก็ยังรู้สึกและจำติดใจทุกวันนี้


    ลูกรัก ก่อนที่พี่โตและลูกๆจะรู้ความ พ่อและแม่ได้พยายาม ขวนขวาย ที่จะให้ลูกได้มีสถานศึกษาที่ดี ที่เชิดหน้าชูตา เป็นที่พากภูมิพอกับลูกผู้อื่น พ่อแม่และผู้ปกครองอีกไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนคนที่ต้องการจะให้บุตรอันเป็นสุดที่รักของตนเข้าสู่สถาบันแห่งนี้ และมีกี่หมื่นกี่แสนคนที่ต้องผิดหวังเพราะไม่สามารถจะทำได้สำเร็จแม้จะรำ่รวยเพียงไร ผิดกับโรงเรียนอื่น ซึ่งเพียงแต่มีเงินก็ยัดเยียดเข้าได้ พ่อและแม่บอกกับเพื่อนฝูงและญาติทุกคนอย่างภูมิใจว่าลูกของพ่อเรียนอยู่วชิราวุธ วันที่ลูกของพ่อสำเร็จจากวชิราวุธจะเป็นวันที่พ่อปลาบปลื้มจนตัวลอย ลูกคงรู้ว่าพ่อแม่มีความหยิ่ง ความภูมิใจในโรงเรียนของลูกแค่ไหน และลูกคงจะคาดคิดได้ว่าพ่อจะรู้สึกอย่างไรถ้าลูกจะต้องถูกออกจากสถาบันแห่งนี้กลางคัน ในสถานะผู้ถูกให้ออก และการนี้จะกระทบกระเทือนถึงน้องตั๋งน้องเต้ยแค่ไหน สำหรับพ่อเองพ่อกลัวจริงๆว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนั้น ถ้าเป็นไปเช่นนั้น พ่อกับแม่คงจะเป็นคนที่โชคร้ายที่สุดที่มีแต่เหตุร้ายทับถมกันไม่ขาด ลูกคงรู้แล้วว่าระยะนี้พ่อเป็นเช่นไร พ่อหวังอยู่อย่างเดียวคือความสำเร็จและอนาคตของลูก สิ่งปลอบใจที่พ่อมีอยู่ก็คือ ลูกๆพ่อเป็นคนดี ตั้งใจเรียน และได้เรียนในที่ที่ดี มีความประพฤติตัวเป็นที่เชิดชู ถ้าจะพูดให้ชัดอีกก็คือ ลูกๆเท่านั้นที่เป็นชีวิตของพ่อ


    พ่อว่าลูกคงมีความเข้าใจผิดในตัวผู้บังคับการของลูก และคงจะไม่เข้าใจที่พ่อยกย่อง พ่อจะยกตัวอย่างที่ใกล้ชิดคือ อาว์สมโชค และอาว์สมพร (เลขะกุล) ตอนที่ทั้งสองสำเร็จการศึกษาขั้นปริญญาแล้วนั้น มีฐานะแย่มาก อาว์สมโชคว่างงาน อาว์สมพรไปช่วยก๋งซึ่งขาดทุนในกิจการก่อสร้างฐานะย่ำแย่ แต่ผู้บังคับการก็ยังรักห่วงใยคอยเกื้อหนุนอุ้มชู ลูกก็เห็นว่าผู้การสนับสนุนคำ้ชูอาว์สมโชคอย่างไร อาว์ทั้งสองรักและเคารพผู้การจะรองก็แต่พ่อแม่เท่านั้น ตัวอย่างที่ใกล้ชิดในวงญาติเราเท่านี้พอหรือยังที่จะชี้ชัดได้ว่าท่านเป็นคนเช่นไร


    เรื่องต่างๆเหล่านี้ พ่อจะไม่บอกให้แม่และน้าพาซึ่งรักและหวังดีกับลูกเหมือนพ่อ เพราะพ่อมั่นใจเหลือเกินว่าความรักระหว่างเราพ่อลูก คงจะพอที่จะทำให้ลูกพยายามเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ และสิ่งที่พ่อกลัวคงจะไม่เกิดขึ้น ถ้าเกิดขึ้นจริงทั้งแม่และน้าพาคงจะโทษพ่อที่ไม่บอกให้รู้ แต่พ่อมั่นใจของพ่อว่ามันจะไม่เกิด


    พ่อเขียนมายาวแล้วลูกอาจจะเบื่อ แต่เมื่อเขียนแล้วก็อยากจะเขียนให้สมกับที่คิด อีกประการหนึ่ง ถึงแม้จะได้พบกันอยู่เสมอ พ่อก็ไม่ได้พูดกับลูกๆมากนัก เพราะพ่อไม่อยากพูดเรื่องของลูกต่อหน้าน้องๆ เว้นแต่จะเป็นเรื่องดีควรภูมิใจ


    พ่อได้พบกับครูของรร.ลูกคนหนึ่ง เป็นครูซึ่งพ่อรู้ว่าเป็นคนดีและลูกๆพ่อเคยพูดถึงเสมอด้วยความเคารพ พ่อได้ขอทราบความรู้สึกของตัวครูเองต่อลูกในแง่ต่างๆ ซึ่งพอสรุปได้ว่า ในด้านการเรียนลูกมีความสามารถดี แต่บางคราวก็ขาดความกระตือรือล้น ส่วนในความประพฤติทั่วไป ลูกไม่ค่อยจะมีคารวะต่อครูอาจารย์เท่าที่ควร ส่วนกับเพื่อนๆลูกมักจะชอบข่ม แสดงตัวว่าสูงกว่า ครูได้ยกตัวอย่าง เช่นในการแข่งขันแบดมินตัน ลูกเคยแสดงลำพองอวดตัวเมื่อชนะและดูแคลนผู้แพ้ ซึ่งอาจจะแสดงโดยไม่รู้สึกแต่ถ้าแก้ไขได้ก็จะดียิ่ง ส่วนในด้านกีฬา ลูกจัดว่าเล่นได้ทุกอย่างแต่ไม่ค่อยจะขมักเขม้นในการฝึกซ้อมจริงจัง ซึ่งเรื่องเหล่านี้พ่อเห็นด้วยกับครูผู้นั้น ลูกต้องแก้ไขดัดอุปนิสัยของตนเอง ครูหรือผู้ใหญ่ทุกคนหวังที่ได้รับการคารวะ ความรักจากผู้น้อย เพื่อนก็หวังจะได้รับความรักการยกย่องจากเพื่อน ซึ่ง SPIRITที่ว่า ลูกคงจะพบมาแล้วเป็นร้อยเป็นพันครั้ง "จงแสดงต่อผู้อื่น เหมือนที่เราต้องการจะได้รับจากเขา"


    ไหนๆพ่อก็เขียนมายาวแล้ว ถ้าพ่อจะแถมหลักการและวิธีการปกครองของโรงเรียนมัธยมที่พ่อเรียน เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับของโรงเรียนลูกคงไม่ยาวจนเกินเบื่อ และเป็นประโยชน์แก่ลูกบ้าง


    โรงเรียนพ่อ Penang Free School เป็นโรงเรียนที่เก่าที่สุดในมลายู คือสร้างเมื่อต้นศตวรรษที่19 ดำเนินการสอนและปกครองแบบ Public School ของอังกฤษ เรียนหนังสือแต่ตอนเช้าถึงบ่ายโมง ตอนบ่ายเป็นเวลา Recreation แบ่งเป็น 3 หน่วยคือหน่วยยุวชน หน่วยลูกเสือ และหน่วยกายบริหาร ส่วนกีฬามีทุกอย่างเหมือนโรงเรียนลูกเว้นแต่สควอช การเรียนตอนเช้าแบ่งเป็น FORM กับ SET โดยพวกที่คำนวณเก่งอยู่ FORM A ลดหลั่นกันลงไป และถือพวกภาษาดีอยู่ SET A  เป็นโรงเรียนประจำมี 5 คณะ


    แต่ละคณะครูผู้ปกครองและครูประจำคณะจะเลือกประธานเรียกว่า CAPTAIN จากนักเรียนในคณะ และมีคณะกรรมการและเลขา ซึ่งเลือกจากนักเรียนเหมือนกัน คณะกรรมการเหล่านี้จะเป็นผู้ช่วยควบคุมนักเรียน และรับผิดชอบในการแข่งขันกีฬาทุกชนิด


    ส่วนการปกครองทั่วไป โรงเรียนมีคณะหัวหน้านักเรียน 13 คน เรียกว่า School Prefects โดยผู้อาวุโสที่สุดจะได้รับแต่งตั้งให้เป็น Head Boy การแต่งตั้งนี้คณะหัวหน้านักเรียนจะประชุมเลือกขึ้นมา โดยแต่ละคนเสนอชื่อได้ 3 ชื่อ ถือหลักเอาจาก การเรียน ความประพฤติ และการสังคม คณะหัวหน้านักเรียนจะเลือกคนที่ดีเด่น 20 คนเสนอต่ออาจารย์ใหญ่ ซึ่งจะประชุมครูทั้งโรงเรียนเลือกให้ได้เพียงตำแหน่งที่ว่างจนครบ 13 คน ซึ่งปีหนึ่งมีตำแหน่งที่ว่างไม่กี่ตำแหน่ง เนื่องจากมีชั้นเตรียมมหาวิทยาลัยลอนดอนด้วย นักเรียนที่สำเร็จแล้ว ถ้าได้Grade ไม่ดี อาจารย์จะไม่ออกใบสุทธิให้เข้ามหาวิทยาลัย ต้องเรียนเตรียมใหม่จนกว่าจะได้หรืออายุเกินกำหนด การเลือกเฟ้นตัวPrefectจึงเข้มข้นมาก


    ที่พ่อเล่าเรื่องนี้ เพราะท่านผู้บังคับการพูดถึงเรื่องนี้กับพ่อเกี่ยวกับลูก ว่าถ้าลูกทำตัวเป็นปกติเหมือนก่อนๆ และแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้วได้ ท่านได้ตั้งใจและกำหนดไว้นานแล้วที่จะให้ลูกเป็น แต่ถ้าลูกยังแก้ไม่ได้ นอกจากจะยกย่องให้เป็นหัวหน้าไม่ได้แล้ว ยังจะกีดขวางผู้อื่นๆ โดยอาวุโสของลูกควรจะเป็นแต่ไม่ได้เป็น การจะเป็นผู้ใต้ควบคุมของผู้อื่นที่ด้อยกว่าจะทำให้ยุ่งยากกับการปกครอง


   พ่อว่าพ่อเขียนมายาวเหยียดเกินไปละ แต่เชื่อว่าลูกอ่านแล้วคงไม่ใช่อ่านผ่านไปเฉยๆแบบอ่านหนังสืออ่านเล่น ป.อินทรปาลิต ลูกคงจะนำไปคิด และถ้าจดหมายฉบับนี้ทำให้ลูกนึกคิดและปรับปรุงตัวให้สมกับที่ทุกคนเชื่อ ตอนที่ลูกได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้า พ่อ แม่ และน้าพาจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุด สำหรับพ่อจะพิเศษกว่าคนอื่น เพราะพ่อรู้ว่าลูกเอาชนะตนเองได้แล้ว และภูมิใจว่าลูกรักและเชื่อฟังพ่อจริง ไม่ถือเอาทิษฐิมานะผิดๆเป็นที่ตั้ง สิ่งไหนที่รู้ว่าผู้ใหญ่ไม่ชอบต้องแก้ไข ไม่ดึงดันถือใจตนเป็นใหญ่ซึ่งจะเป็นภัยแก่ตัว


พ่อรักลูกและเชื่อว่าลูกคงรักและเชื่อฟังพ่อ


พ่อ


ทั้งหมดนี้เป็นเนื้อความในจดหมายที่พ่อเขียนถึงผมเมื่อปี 2513 เมื่อผมเป็นวัยรุ่นอายุ 16


    ถึงพ่อจะจากพวกเราไปกว่าสี่สิบปีแล้ว แต่ที่ผมมีผมเป็นอยู่ทุกวันนี้ มีส่วนไม่น้อยที่มาจากรากฐานที่ท่านกล่อมเกลาสั่งสอน ที่ท่านตั้งวางเอาไว้ ...ผมค่อนข้างมั่นใจว่า ถ้าท่านหยั่งรู้ ท่านจะไม่ผิดหวังกับผลผลิตที่ท่านเริ่มต้นเอาไว้


    ขอให้ทุกท่าน ทำดีให้พ่อภูมิใจ ดูแลท่านให้ดี ก่อนที่ท่านจะไม่อยู่ให้ดูแลนะครับ